วันเสาร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

สุสาน 13 กษัตริย์




สุสาน 13 กษัตริย์










 สุสาน 13 กษัตริย์ หรือวังใต้ดิน (สือซานหลิง) ตั้งอยู่ทางชานเมืองด้านตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงปักกิ่ง ห่างจากตัวเมือง 50 กว่ากิโลเมตร เป็นสถานที่บรรจุพระศพของพระจักรพรรดิราชวงศ์หมิง 13 องค์ การก่อสร้างยืดเยื้อมาเป็นเวลากว่า 200 ปี ตั้งแต่เริ่ม ทำการก่อสร้างในปี ค.ศ.1409 จนถึงราชวงศ์หมิงสิ้นสุดลงในปีค.ศ. 1644


     ในบรรดา 13 สุสานนี้ สุสานแห่งที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและน่าสนใจที่สุดคือสุสาน "ฉางหลิง" ที่มีสิ่งก่อสร้างอันใหญ่โตมหึมาบนผิวดินกับสุสาน "ติ้งหลิง"หรือ "วังใต้ดิน"ที่ได้ขุดพบ สุสานฉางหลิงเป็นสุสานของจักรพรรดิ "จูตี้" ซึ่งครองราชสมบัติระหว่าง ค.ศ. 1402 - 1424 ในสมัยราชวงศ์หมิง สิ่งก่อสร้างสําคัญในบริเวณสุสานนี้มีพระโรงหลิงเอินซึ่งใหญ่โตเท่ากับพระที่นั่งไท่เหอในพระราชวังโบราณ แต่ที่เด่นกว่าพระที่นั่งไท่เหอก็คือ เสา ขื่อ  อกไก่ ระแนง ตลอดจนชายคาของพระที่นั่งล้วนสร้างด้วยไม้ที่มีชื่อว่า "หนานมู่" ซึ่งมีเนื้อไม้ที่แข็งละเอียดและมีกลิ่นหอม เสาขนาดใหญ่ 32 ต้นในพระโรงหลิงเอินใช้ไม้หนานมู่ทั้งนั้น






     สุสานติ้งหลิงซึ่งได้ขุดแล้วและเรียกกันว่า "วังใต้ดิน" นั้นประกอบด้วยห้องสูงใหญ่ 5 ห้อง สร้างด้วยหินทั้งหมด ไม่มีเสา ใช้หินสี่เหลี่ยมแผ่นใหญ่ก่อกันเข้าเป็นรูปโค้ง เป็นที่เก็บพระศพของพระเจ้า "จู้อี้จุน" ซึ่งครองราชสมบัติระหว่าง ค.ศ. 1573 - 1620 กับมเหสีสององค์ในสมัยราชวงศ์หมิง

     สุสานชิงตะวันออกหรือชิงตงหลิงอยู่ห่างจากเมืองจุนหั้วมณฑล เหอเป่ยไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ30กิโลเมตร ซึ่งอยู่ระหว่างกรุงปักกิ่ง เมืองเทียนสิน ถางซานและเมืองเฉิงเต๋อ ภายในบริเวณสุสานตะวันออกนั้น ผืนดินด้านใต้นั้นราบเรียบดั่งผืนพรม ส่วนด้านเหนือยังเป็นทิวเขาสูง เขียวขจีสุดลูกหูลูกตา ทิวทัศน์โดยรอบงดงามราวกับแดนสวรรค์

ทะเลสาบ 5 สี “จิ๋วไจ้โกว” (Jiuzhaigou)


ทะเลสาบ 5 สี “จิ๋วไจ้โกว” (Jiuzhaigou)




  จิ่วไจ้โกวมีสภาพภูมิศาสตร์โดดเด่นทั้งยอดเขาหิมะสูงเสียดฟ้าและหุบ เขาลึก ด้วยสภาพภูมิประเทศที่มีความสูงต่ำแตกต่างกันอย่างมากมายนี้ เองที่ได้ทำให้สภาพภูมิอากาศและพืชพรรณสัตว์ป่าในบริเวณนี้มีความ หลากหลายและสลับซับซ้อนอย่างยิ่ง ทำให้ชนิดหรือพันธุ์ พืชของจิ่วไจ้โกวก็มีความแตกต่างกันไปตามสภาพทางภูมิศาสตร์
และตาม อากาศของเขตนี้



     ความงามแห่งสีสันจากธรรมชาติอันยิ่งใหญ่และมีเอกลักษณ์แห่งนี้ได้สร้างชื่อเสียงให้จิ่วไจ้โกวไม่น้อยดังเช่นที่มีผู้ประพันธ์ท่านหนึ่งได้เคยพรรณาความงามของจิ่วไจ้โกวไว้ว่า”ทะเลสาบผุดขึ้นท่ามกลางหมู่แมก ไม้เขียวขจี น้ำใสเป็นประกายชุ่มฉ่ำ ยอดเขาประกายหิมะ ตัดกับท้องฟ้าใสสีครามสลับ ปุยเมฆขาวเบาบาง เงาไม้หลากสีสันต้องแสงแดดสะท้อนลงบนผิวน้ำใส ราวกระจกของทะเล สาบ เกิดเป็นภาพธรรมชาติอันงดงามที่แปรเปลี่ยนไป ตามฤดูกาลผลิ ร้อน ร่วง หนาว ไม่ว่ายามสงัดฟ้าใส หรือฝนตกฟ้าคะนอง ยามเช้าหรือยามเย็น หิมะโปรยหรือยามฝนพรำสีของน้ำในทะเลสาบก็จะ แปรเปลี่ยนไป บ้างเขียวครึ้ม ผสมน้ำเงินเข้ม บ้างฟ้าเขียวสดใส อีกทั้งสาหร่ายและพืชพรรณใต้น้ำที่สะท้อนเงาแดดต่างประชันขันแข่งกันให้สีเขียวมรกต เหลืองบุษราคัม ชมพูจนถึงแดงอ่อน ราวกับเพชรพลอยที่ส่องแสงสะท้อนบาดตา”



         ยามฤดูใบไม้ผลิมาเยือน แมกไม้ผลิดอกออกใบเป็นสีสันหลากหลาย ทั้งสีแดง เหลือง ม่วง ขาว ของดอกกุหลาบพันปี ต้นท้อและสาลี่ป่า สีขาวของลูกสาลี่ สลับกับใบอ่อนสีเขียวที่กำลังผลิดอกออกใบสะพรั่งใน ฤดูกาลนี้ เมื่อเข้าสู่ฤดูร้อนป่าทั้งผืน จะกลายเป็นสีเขียวไล่ระดับตั้งแต่สี เขียวอ่อน เขียวสดใส เขียวเจิดจ้า และเขียวเข้ม สะท้อนถึงความเข้มข้นของชีวิตอันอุดมในผืนป่าแห่งนี้ เมื่อฤดูใบไม้ร่วงมา เยือน ต้นไม้ใบหญ้าที่อยู่รอบทะเลสาบก็จะทยอยกันผลัดใบเปลี่ยนสีร่วงลง สู่ทะเลสาบ สร้างสีสันให้กับโลกใต้น้ำยิ่งกว่าภาพวาดที่จิตรกรจะสามารถ สรรค์สร้างขึ้น แต่งเติมได้ ป่าผลัดใบเป็นสีสันฉูดฉาด บ้างเป็นสีส้มเข้ม เหลืองอ่อน แดงชาด แดงเข้ม จนถึงแดงคล้ำ ใบไม้ที่ร่วงลงสู่ผืนดิน ทำให้เส้นทางที่ทอดตัวสู่ขุนเขากลายเป็นสีแดงฉาน ราวกับภาพวาดสีน้ำมัน บนผืนผ้าใบ เมื่อย่างเข้าสู่ฤดูหนาว ทุกหนแห่งถูกปกคลุมด้วยหิมะขาว สะอาดตา น้ำตกที่แข็งตัว มองไปแต่ไกลเห็นเป็นเส้นสาย หยดหยาดลงมาราวกับม่านสีเงิน ส่องประกายวิบวับในแสงแดดอ่อน ผืนป่าถูกปกคลุมด้วยหมอกขาวบางเบา ดูราวกับภาพฝันแสนงาม สายธารน้ำสีเงินผนึกตัวเป็นแผ่นน้ำแข็ง ราวกับกระเบื้องเคลือบชั้นดี ที่ประดับตกแต่งด้วยอัญมณีสีสดใสอยู่ภายใน

                คณะกรรมการมรดกโลกได้ประเมินคุณค่าของจิ่วไจ้โกวว่า มีระบบ นิเวศน์ที่มีลักษณะที่ต่างกัน คือนอกจากมีทิวทัศน์ธรรมชาติที่งาม ตระการตาแล้ว ยังมีนกและพันธุ์พืชป่าที่หายากหรือใกล้จะสูญพันธุ์ จำนวนมากจึงถูกจัดเข้าสู่รายชื่อมรดกโลกเมื่อปีค.ศ.1992และก็ยังได้รับ เลือกจากสหประชาชาติให้เป็นเขตอนุรักษ์สิ่งมีชีวิตของโลกอีกด้วยเมื่อปีค.ศ. 1997 ทั้งสองราย เขตนี้จึงเป็นเขตที่ได้รับเกียรติยศว่า มีคุณลักษณะดีเด่นทั้งสองประเภทแห่งเดียวในโลก

ทะเลสาบซีหู 西湖


ทะเลสาบซีหู 西湖




  ประวัติศาสตร์อันยาวนานถึง 2,100 ปี สมัยราชวงศ์สุย (ค.ศ. 581-618) จากคำสั่งขุดคลองต้ายุ่นเหอ (Grand Canal)
ขององค์ฮ่องเต้สุยหยางตี้ รัชกาลที่ 2 ของราชวงศ์สุย เพื่อเชื่อมดินแดนทางเหนือกับทางใต้ จากปักกิ่งมายังหางโจว ได้ผลักดัน
ให้เมืองหางโจวเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก ในหน้าประวัติศาสตร์จีน หางโจว เจริญถึงขีดสุดเมื่อ ราชวงศ์ซ่งได้ตัดสินใจย้ายเมืองหลวงจากเมืองไคเฟิง ที่อยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำเหลืองลงมายัง หางโจว ที่อยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียง เพื่อความปลอดภัยจากการกรุกรานของชนเผ่าจิน และได้ตั้งราชวงศ์ซ่งใต้ (ค.ศ. 1127-1279) ขึ้น การย้ายเมืองหลวงดังกล่าวได้ผลักดันให้ชื่อของ 'หางโจว' ติดอยู่ในทำเนียบ 1 ใน 7 เมืองหลวงเก่าของจีน ร่วมกับ อันหยาง, ซีอาน, ลั่วหยาง, ไคเฟิง, หนานจิง และ ปักกิ่ง
และยังถูกกล่าวไว้ใน บทกวีหลายบทที่แต่งขึ้น สมัยราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618-907) โดยได้รับแรงบัลดาลใจจากความงามอันหลากสีสันของเมืองหางโจว แต่จากเหตุการณ์ "กบฏไท่ผิง" (ช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19) ทำให้ เมืองที่สวยงามนี้ถูกทำลายแทบจะไม่เหลือร่องรอยของเมืองที่เคยมีนามก้องโลกให้หลงเหลืออยู่เลย สามารถลอดผ่านได้ ขณะที่ด้านบนสะพานก็มีเกวียนและม้าสัญจรผ่านไปมา








แม้ว่าในเวลาต่อมา ชนเผ่ามองโกลจะเข้ามาปกครองแผ่นดินจีนในนามของราชวงศ์หยวน (ค.ศ. 1206-1368) โดยยึดเอา ต้าตู (ปักกิ่ง) ที่อยู่ทางภาคเหนือเป็นเมืองหลวง เป็นศูนย์กลางทางการเมือง-การปกครอง แต่ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของทางใต้ หางโจวก็ยังคงความเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจอยู่
ไม่น่าสงสัยเลยว่า Kinsai (เป็นชื่อที่ มาร์โค โปโล ใช้เรียกหางโจว) เป็นเมืองที่ยอดเยี่ยม และงดงามที่สุดในโลก เมือง (หางโจว) มีความเส้นรอบวงประมาณ 100 ไมล์ และเกือบทุกส่วนของเมืองสามารถไปถึงได้ด้วยทางบก หรือ คลอง" กล่าวกันว่า มีสะพานอยู่ 12,000 แห่ง โดยสะพานที่ทอดผ่านลำคลองสายสำคัญนั้นจะถูกสร้างไว้สูงตระหง่าน และออกแบบอย่างดีให้เรือลำใหญ่ที่ปลดเสาเรือลงแล้ว